Beer Game
หนึ่งใน Signature Program ของ MIT คือกิจกรรมที่เรียกว่า Beer Game คิดค้นโดย Professor Jay Wright Forrester ตั้งแต่ปี 1960 โดยมีพื้นฐานมาจากวิชา System Dynamic
กิจกรรมนี้เล่นเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีสมาชิกอย่างน้อย 4 คน ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต Manufacturer ผู้กระจายสินค้า Distributor ผู้ป้อนสินค้า Supplier และผู้ขาย Retailer วัตถุประสงค์คือการผลิตสินค้าส่งมอบให้ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สุด วัดจากจำนวนสินค้าคงค้าง Inventory และออร์เดอร์รอส่งมอบ Backlogs
เล่นเป็นรอบสัปดาห์ ระหว่าง 24-52 รอบ มี 5 สเต็ปด้วยกัน
- เช็คของ ลงบันทึกจำนวนสินค้าคงค้างในแต่ละฐานในสัปดาห์นั้นๆ
- เช็คออร์เดอร์ ตรวจว่ามีของสั่งใหม่มาจำนวนเท่าไหร่เพื่อเตรียมผลิต
- ส่งของ สินค้าถูกนำส่งไปเรื่อยๆจนถึงมือลูกค้า
- สั่งออเดอร์ใหม่ แต่ละฐานเขียนจำนวนสินค้าที่ต้องการ เริ่มตั้งแต่ลูกค้า Customer ไป Retailer, Supplier, Distributor จนถึง Manufacturer ตามลำดับ
- เริ่มสัปดาห์ใหม่
กติกาหลักคือ ผู้เล่นในแต่ละฐานห้ามพูดกัน จะมีกระดาษให้เขียนสั่งสินค้าเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนจะสั่งเท่าไหร่ก็ได้
ความสนุกของเกมส์คือผู้เล่นแต่ละคนจะพยายาม ‘เดาใจ’ ว่าควรจะสั่งของเท่าไหร่ดี เช่น Retailer เปิดไพ่มาพบว่าลูกค้าสั่งสินค้า 4 ชิ้น เขาก็สั่งของไปที่ Supplier 4 ชิ้น แต่ Supplier เล็งว่าครั้งต่อไปลูกค้าน่าจะสั่งเพิ่มขึ้น เลยเพิ่มยอดสั่งไปที่ Distributor เป็น 8 ชิ้น Distributor ก็กลัวว่าเดี๋ยวของขาดแล้วจะเสียค่าปรับ เลยเผื่อให้อีก 8 เป็น 16 พอมาถึง Manufacturer โรงงานเลยผลิตเบียร์ออกมา 16 ยูนิต ส่งมอบไปจริงแค่ 4 เหลือคงค้างอยู่ 12
รอบเดียวไม่เท่าไหร่ พอเล่นไปๆ ต่างฝ่ายต่างเผื่อ ของเลยกองเต็มโกดังไปหมด พอคงค้างเยอะๆเข้า บางฐานก็หยุดสั่งเพิ่มเพราะระบายไม่ทัน แต่พอหยุดสั่งแล้วของระบายออกไปหมด ของก็ขาดถูกปรับค่า Backlog ต้องรีบสั่งมาเพิ่ม เป็นลูกคลื่นไปตามรอบสัปดาห์ พอครบตามจำนวนสัปดาห์ที่กำหนด แต่ละทีมคำนวณว่าค่าใช้จ่ายสะสมในแต่ละฐานรวมเป็นเท่าไหร่ โดยทีมที่ชนะคือทีมที่เกิดค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ที่ผมเพิ่งเล่นกับองค์กรหนึ่งไป ทีมที่ชนะเกิดค่าใช้จ่าย $840 ขณะที่อีกสองทีม $3,500 และ $4,800 นับสินค้าคงค้างกันเมื่อยมือ
ข้อคิดของผู้นำสมอง
- หวังดีแต่ผลร้าย ความน่าสนใจของกิจกรรมนี้คือ แต่ละฐานล้วนตัดสินใจสั่งออเดอร์ด้วยความหวังดีทั้งสิ้น พยายามจะช่วยทีมด้วยการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่กลับเกิด Bullwhip Effect, Oscillation, and Amplification ยิ่งปรับยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง คล้ายกับการทำงานในองค์กร พอยอดตก การตลาดกับเซลส์ก็พยายามออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอด ฝ่ายกระจายสินค้าก็รีบเตรียมของไว้ส่ง จัดซื้อก็ระดมวัตถุดิบเข้าสต็อค โรงงานก็เริ่งผลิต พอยอดไม่มา ทุกฝ่ายก็รีบปรับลดประมาณการณ์ ของคงค้างก็ลดฮวบจนเกิด Backlog ก็วนเข้าลูปการสั่งใหม่ ทุกคนหวังดีทั้งสิ้น แต่ยิ่งหวังดีทีมยิ่งแย่
- Bullwhip Effect หมายถึงการที่หัวส่ายหางแกว่ง ต้นทางขยับตัวแค่นิดเดียว เกิดผลกระทบกับปลายทางเป็นวงกว้าง ใน Beer Game หน้าร้านเพิ่มออร์เดอร์แค่ 4 แต่เกิดสินค้าคงค้างถึง 12 ในองค์กรผู้เรียนสรุปว่าคล้ายๆกับเวลาผู้บริหารสั่งนโยบายอะไรลงมา ข้างบนสั่งนิดเดียว แต่ข้างล่างวิ่งกันขาขวิด บางทียังไม่ทันทำไปถึงไหน อ้าว นโยบายเปลี่ยนอีกแล้ว (ฟังคุ้นๆไหมครับ) นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า หากคุณเป็นคน ‘ข้างบน’ อย่าลืมคิดเผื่อว่าผลกระทบของการตัดสินใจเล็กๆของฝ่ายบริหาร จะส่งผลกระทบใหญ่ๆกับฝ่ายปฏิบัติ ผมเคยทำงานกับซีอีโอท่านหนึ่ง เกิด Aha moment ในหลักสูตรว่า เวลาประกาศอะไรออกไป ท่านต้องให้เวลาองค์กรปรับตัวตามมากขึ้น ไม่งั้นประกาศมามกรา พอธันวาทีมเริ่มจะเดิน ปีใหม่ท่านออกนโยบายใหม่อีกแล้ว จนสักพักพนักงานพากันถอดใจ ท่านจะว่ายังไงก็ปล่อยท่านแล้วกัน
- ทีมคือคำตอบสุดท้ายแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะลดผลกระทบของปรากฎการณ์ดังกล่าว จะเป็น Supply Chain หรือ Management ทางออกเหมือนกันคือการสร้างทีมอันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้มากที่สุด Supply Chain จะพูดถึงเครื่องมือต่างๆให้เกิดความโปร่งใสและความร่วมมือกันระหว่างทุกฐาน Management จะพูดถึงการสื่อสาร การให้ฟีดแบ็กอันรวดเร็วและตรงไปตรงมา การแชร์แผนงานซึ่งกันและกันไม่มีกั๊ก และการลด Silo ให้มากที่สุด
มันมีเรื่องให้เรียนรู้มากมายอย่างนี้นี่เอง Beer Game จึงได้มีอายุยืนยาวมาหกสิบกว่าปีแล้ว และโด่งดังไปทั่วโลกครับ