The 4.0 World
สิ่งที่แน่นอนคือการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่น่าคิดคือการเปลี่ยนแปลงของโลก 4.0
ผมเพิ่งไปร่วมงานประชุมประจำปีองค์กรใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ซีอีโอเล่าให้ฟังถึงความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลง มีข้อมูลน่าสนใจสรุปไว้หลายอย่าง เป็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจะกำลังเกิดทุกแห่งโดยเฉพาะในเอเชีย
เริ่มจากความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมการบินใช้เวลา 68 ปีในการหาลูกค้า 50 ล้านคน ATM ใช้เวลา 18 ปีในการสร้างผู้ใช้จำนวนเดียวกัน โทรศัพท์มือถือใช้ 12 ปี WeChat แอพพลิเคชั่นใช้เวลา 1 ปี และ Pokemon Go ใช้เวลาสร้างผู้ใช้ 50 ล้านคนเพียง 19 วัน
ภายในปี 2040 80% ของงานจะใช้ระบบอัตโนมัติผ่าน Robotics และ AI ส่วน 80% ของการผลิตจะเลิกพึ่งผู้จำหน่ายคนกลาง ในปี 2020 อุปกรณ์สื่อสาร 3 หมื่นล้านเครื่องจะเชื่อมต่อกัน และ Internet of Things หรือการพูดคุยระหว่างอุปกรณ์โดยไม่ผ่านมนุษย์จะมีมูลค่าถึง 14.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าเอาเฉพาะมาเลเซีย e-Commerce เติบโตเฉลี่ย 21% Lazada มีคนเข้าช้อปเดือนละเกือบหกสิบล้านครั้ง (สองเท่าของประชากรประเทศ) คนดู iflix เกือบสองชั่วโมงต่อวัน 58% ใช้เฟสบุ๊คในการติดตามข่าว การจ่ายเงินเป็น Cashless กระทั่งเช็คอินขึ้นเครื่องที่สนามบินก็ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition แทนการแสตมป์ตรายาง 80% ของพลเมืองเป็น internet users คนมาเลเซีย 1 ใน 4ของประเทศเป็น Gen Y & Gen Z และ 1 ใน 3 ของจำนวนนั้นไม่เคยไปธนาคาร ใช้มือถือล้วนๆในการทำธุรกรรม
จำนวนเวลาเฉลี่ยที่คนมาเลเซียออนไลน์คือ 8 ชั่วโมง 27 นาที มากกว่าที่คนส่วนมากนอนเสียอีก!
ในมุมกลับกัน ซีอีโอท่านนี้ยกข้อมูลด้านลบซึ่งอาจเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ชาวมาเลเซีย 4 จาก 10 คนมีปัญหาทางประสาท 1 ใน 3 ฆ่าตัวตายจากอาการทางจิต และคน 300 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคซึมเศร้า
มาดูด้านอาชีพบ้าง งาน 7 ล้านตำแหน่งหายไปแล้ว อีก 30-50% จะตามไปติด ๆในอีกห้าปีข้างหน้า คนที่เคยทำงานวิชาชีพ 1 ใน 2 คนจะตกงาน 72% ของคนมาเลเซียขาดทักษะสำคัญของการทำงานในอนาคต และ 68% เป็นห่วงว่าตนจะไม่มีวิธีสร้างรายได้เมื่อหุ่นยนต์และเทคโนโลยีเข้ามาทดแทน
ในโลกของ The 1% บนความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ซีอีโอท่านนี้อ้างอิงข้อมูลจาก Ted Talk ของ Richard Wilkinson บ่งชี้ว่าประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนาด้านสังคม Social Progress ดีที่สุดและมีช่องว่างระหว่างรายได้ต่ำที่สุด (Best Quadrant) ส่วนอีกฟากคือสหรัฐอเมริกา มี Social Progress ต่ำที่สุดและช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากที่สุด (Worst Quadrant) มาเลเซียอยู่กลาง ๆ คะแนนที่ต่ำมาจากพัฒนาการด้านสังคม ผมเดาว่าน่าจะเกิดจากมาตรฐานอันหลากหลายของคนหลายเชื้อชาติ ส่วนข้อมูลประเทศไทยไม่ยักมี
สุดท้ายเป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีระเบียบ ข่าวร้ายคือคนมาเลเซีย 1 ใน 2 คนไม่เชื่อถือการทำงานของรัฐบาล รัฐวิสหกิจ บริษัท หรือกระทั่ง NGO (อยากรู้จังว่าข้อนี้เมืองไทยได้เท่าไหร่) 60% กังวลต่อคุณธรรมที่เสื่อมลงเรื่อยๆของสังคม คนสมัยนี้ต้องการ Likes และ Follows โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือเปล่า Instant fames not from values and positive contributions to the society
ข้อคิดสำหรับผู้นำสมอง
- What Does It All Mean? คำถามโลกแตกนี้ตั้งขึ้นเพื่อให้เราช่วยกันค้นหา บนความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว ผลกระทบที่ตามมาย่อมรวดเร็วตามไปด้วย ข้อดีคือบน connectivity and technology คนอย่างเรา ๆท่าน ๆทุกคนมีพลังในการสร้างสิ่งดี ๆให้กับโลก ใครสนใจแนวคิดนี้เพิ่มเติม ผมแนะนำหนังสือชื่อ WTF?: What’s the Future and Why It’s Up to Us โดย Tim O’Reilly ครับ
- FoMO จะอยู่ได้ในโลกแบบนี้ต้องมีระบบ Executive Function หรือสมองส่วนหน้าที่เข้มแข็ง FoMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out พฤติกรรมคือคนที่ต้องก้มหน้าดูจอตลอดเวลาเพราะกลัวว่าตนจะ ‘พลาด’ อะไรไป การติดมือถือไม่ต่างอะไรจากยาเสพติด Dopamine ในสมองทำให้เราลงแดงแบบเดียวกัน จงหมั่นเช็คฟีดแบ็ตตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังติดยาหรือเปล่า
- Play to Strengths of Humans จุดแข็งของมนุษย์คือสมองส่วนหลัง ทักษะที่หายากที่สุดแต่สร้างมูลค่าให้กับองค์กรมากที่สุดคือ Creativity ความคิดสร้างสรรค์ (GE Innovation Barometer, WEF) งั้นอยากเป็นคนทันสมัยต้องฝึกคิด อย่าทำอะไรเดิมๆซึ่งคอมพิวเตอร์ทำได้ดีกว่าเรา มองโลกในมุมที่แตกต่าง เค้าบอกว่าซ้ายลองคิดให้ไปขวา เค้าบอกเดินหน้าเราลองหาทางถอยหลัง มองหา 3rd Alternative ที่สร้างประโยชน์และ create a better future
โลก 4.0 จะหัวหรือจะก้อยนั้นขึ้นอยู่กับเราครับ