อย่าช่วยคิด
ทำไม? การให้คนอื่นช่วยคิดจึงสู้ตัวเองคิดเองไม่ได้ คำตอบคือ เพราะคนอื่นไม่มีทางเข้าใจบริบทหรือความเป็นมาเป็นไปของปัญหาในทุกมิติได้ดีกว่าเจ้าตัว
สมมติว่า คุณลืมกุญแจรถ ไว้ที่ไหนซักแห่งในที่ทำงาน แล้วถ้าผมจะช่วยคุณหากุญแจรถ ผมก็จะตรงไปที่ห้องทำงานของคุณ แล้วก็คิดแทนคุณ แล้วก็เริ่มรื้อทุกลิ้นชักในห้องทำงานของคุณ จากลิ้นชักที่ 1 ไปลิ้นชักที่ 2 จากลิ้นชักที่ 2 ลามไปจนครบทุกลิ้นชัก
และถ้ายังไม่เจอ ผมก็จะเริ่มเปิดตู้เอกสารของคุณทีละใบ จากใบที่ 1 ไปใบที่ 2 และสุดท้าย นอกจากจะหาไม่เจอแล้ว ตอนนี้ห้องของคุณก็จะเต็มไปด้วยกองเอกสารที่ถูกรื้อออกมา เพื่อหากุญแจเพียงดอกเดียว
แต่ถ้าผมเชื่อว่า ไม่มีใครคิดแก้ปัญหาของตัวเองได้ดีกว่าเจ้าของปัญหาแล้วล่ะก็ ผมจะไม่ช่วยคุณคิด แต่ผมจะชวนคุณคิดแทน
ผมก็จะเริ่มถามว่า วันนี้พอคุณจอดรถเสร็จแล้ว คุณแวะไปที่ไหนบ้างไหมก่อนจะขึ้นมาที่ห้องทำงาน คุณแวะไปโรงอาหารก่อน หรือแวะเข้าห้องน้ำก่อนบ้างไหม หรือระหว่างวัน คุณลุกจากห้องทำงานลงไปหยิบของอะไรที่รถบ้างไหม
ผมก็จะชวนให้คิดไปเรื่อย ๆ ด้วยการตั้งคำถามให้คุณคิด ผมมีหน้าที่ถาม คุณมีหน้าที่คิด และคุณจะคิดได้ดีกว่าผมเพราะคุณจะเข้าใจบริบทในทุกมิติเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนั้น ซึ่งไม่มีใครจะเข้าใจมันได้ดีกว่าตัวคุณเองจริงไหม?
และในที่สุด คุณอาจคิดขึ้นมาได้ว่า อ๋อ! คุณลืมกุญแจไว้ในรถแน่ๆ เลย เพราะช่วงสาย คุณลืมของสำคัญชิ้นหนึ่งไว้ในรถ คุณจึงรีบลงไปเอา แล้วลืมดึงกุญแจกลับออกมา มันเลยคาอยู่ที่รถตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะฉะนั้น “การชวนคิดของผม จึงทำให้คุณฉุกคิด” และคุณฉุกคิดได้ ด้วยตัวคุณเอง ผมเพียงทำหน้าที่ชวนคิด ไม่ได้ช่วยคิด
ที่สำคัญ การชวนคิดนอกจากจะทำให้เจ้าของปัญหาสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้ดีกว่าแล้ว ยังเป็นการพัฒนาให้ฝึกคิดด้วย ถ้าคุณอยากพัฒนาใครสักคน ลองหยุดช่วยเขาคิด แล้วหันมาชวนคิดดูซิครับ