Best Office Is No Office

หลายองค์กรถกเถียงกันว่า จะจัดเลย์เอาท์ออฟฟิศอย่างไรให้เสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม innovative culture ควรมีโต๊ะแบบไหน? แบ่งเป็นห้องๆหรือเปล่า? หรือมีบริเวณตั้งโต๊ะปิงปองให้พนักงานตีเล่น ใส่ไม้ลื่นด้วยดีมั้ย เอาแบบไหนให้เจ๋งที่สุด

สมัยห้าปีสิบปีที่แล้ว เราบอกว่าต้องโละออฟฟิศแบบมีคอก cubicles ออก ให้คนมองเห็นกัน คุยกันได้ตลอด แล้วทำให้โล่ง ๆ กว้าง ๆ ตกแต่งด้วยสีสันสดใส จะได้กระตุ้นการทำงานแบบ collaboration และ creativity

ปัจจุบันนี้เริ่มมีข้อมูลออกมาว่า การจัดออฟฟิศแบบเปิดกว้าง open-plan กลับทำให้การทำงานร่วมกันลดลง คนสร้างโลกออนไลน์ด้วยมือถือ แถมการไม่มีพื้นที่ส่วนตัวทำให้สมองโฟกัสงานได้น้อยลง จะตั้งใจทำอะไรหน่อย คนใกล้ตัวดันมีเรื่องที่น่าสนใจกว่างานมาทำให้หวั่นไหว

ตกลงจัดแบบเป็นสัดเป็นส่วนก็ไม่ดี จัดแบบโอเพ่นก็ไม่ได้ แล้วจะให้ทำแบบไหน?

สำหรับยุค 4.0 เราไม่ต้องมีออฟฟิศเลยไหมครับ?

หนึ่งในเทรนด์ที่ฮือฮามากจากหนังสือ Open Source Leadership (2017) โดย Rajeev Peshawaria, CEO ของ Iclif Leadership Centre คือ Unlimited Vacation การให้สิทธิ์พนักงานลาได้ไม่จำกัด

ไม่ต้องนับวันลา ไม่ต้องกรอกเอกสาร ไม่ต้องทนนั่งอยู่ที่ทำงานหากใจอยู่ที่อื่น

ข้อแม้อย่างเดียวคือ งานไม่เสีย ตกลงอะไรกันไว้ต้องได้อย่างนั้น จะทำงานเดือนละ 8 วันก็ได้ หากสามารถส่งลูกค้าตามกำหนด

ในแง่ของงานดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ในมุมของสมองกับความสร้างสรรค์ ดีแน่นอนครับ

ผมเคยทำ survey กับผู้เรียนในห้องว่า ความคิดดี ๆ ของคุณมักเกิดขึ้นที่ไหน 27% บอกว่า เกิดในห้องนอน 16% บอกว่า เกิดในห้องน้ำ อีก 16% บอกว่า เกิดในที่สาธารณะ ตามด้วย การเที่ยวธรรมชาติ ระหว่างขับรถ ฯลฯ จนท้ายลิสติ์ คือเพียง 2% เกิดที่ออฟฟิศ

แล้วจะทนทำสิ่งที่ไม่เวิร์คไปอีกนานแค่ไหน?

ข้อคิดสำหรับผู้นำสมอง

  1. Innovative Brain ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการคุยกับคนหลากหลาย เหล้าเก่าในขวดใหม่ไม่ใช่ทางออก สาเหตุที่ open-plan office ไม่เวิร์คเพราะแม้บรรยากาศจะเป็นใจ แต่คนคุยด้วยก็ยังเป็นคนหน้าเดิม สิ่งที่สมองต้องการคือคนใหม่ ๆ ไว้โยนไอเดียต่างหาก วันก่อนผมเพิ่งคุยกับคุณเอม อมฤต เจริญพันธ์ เจ้าของ HUBBA coworking space ที่เปิดให้คนเข้ามาใช้พื้นที่เพื่อการทำงาน โดยเตรียมความพร้อมด้าน infrastructure ไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ปลั๊กไฟ เครื่องถ่ายเอกสาร แฟ็กซ์ โทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ห้องประชุม มุมกาแฟ สมาชิกอาจจะมาเดี่ยวหรือมาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ บริษัทเล็ก ๆ มีพนักงานสัก 3-4 คนก็ได้ สถานที่แบบนี้ตอบโจทย์ unlimited vacation เป็นพิเศษเพราะทำงานได้แม้ไม่เข้าออฟฟิศ และมันคือการจุดประกายความคิดใหม่ ๆ ให้สมอง
  2. Culture of Trust ความเชื่อใจเกิดจากความไว้ใจ หากอยากให้พนักงานเชื่อใจบริษัท บริษัทก็ต้องไว้ใจพนักงานก่อน หนึ่งในคำถามที่เราใช้ในการประเมินองค์กรเรื่อง Trust คือ Does the organization treat you like an adult? พนักงานได้รับการปฏิบัติเสมือนผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบหรือเปล่า หรือเหมือนเราเป็นเด็กเล็กๆ จะทำอะไรก็ต้องคอยเช็คชื่อต้องตามตรวจ จะตัดสินใจอะไรก็ต้องขออนุญาตขออนุมัติ เรียนหนังสือแทบตายจบออกมาเหมือนกลับไปเป็นเด็กอนุบาลใหม่ สมัยนี้ทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งคอมพิวเตอร์ แทบเล็ตเยอะแยะ Wifi ที่ไหนก็มีทำไมต้องเข้าออฟฟิศ
  3. Win-Win ข้อดีของ Unlimited Vacation คือทุกฝ่ายได้ประโยชน์ พนักงานย่อมชอบอิสระและความไว้วางใจจากหัวหน้า อยากจะตื่นมาทำงานตอนตีสองแล้วนอนถึงเที่ยงก็ได้ ขับรถไปออฟฟิศก็เลือกเวลารถไม่ติด แทนที่จะต้องมาชิงพื้นที่ถนนกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ส่วนบริษัทก็ประหยัดพื้นที่ออฟฟิศและทรัพยากร พนักงานใช้เน็ตสตาร์บัคส์ ใช้ไฟที่บ้าน ใช้เวลาของตัวเองในการทำงานให้บริษัท ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ตอน AirAsia บอกว่า ให้ผู้โดยสารพิมพ์บัตรขึ้นเครื่องเองที่บ้าน คนบ่นว่าบ้า หมึกก็ของชั้น กระดาษก็ของชั้น เรื่องอะไรมาโยนหน้าที่ให้กับผู้โดยสารที่จ่ายเงิน แต่พอบอก “ถ้าปริ้นท์มาเองไม่ต้องรอคิวนะ ขึ้นเครื่องได้เลย” คราวนี้ทุกคนยินดีทำเพราะได้มากกว่าเสีย ผมคนหนึ่งละยินดีใช้ไฟที่บ้านถ้าไม่ต้องฝ่ารถติด ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปออฟฟิศ

หลายท่านอ่านมาแล้วคงคิดว่า ‘ไอเดียบ้าๆ ใครจะไปทำ’ ให้อิสระพนักงาน 100% มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

แนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง Powerful: Building a Culture of Freedom and Responsibility เขียนโดย Patty McCord เกี่ยวกับบริษัท Netflix

ส่วนอ่านแล้วอยากจะลองหรือไม่นั้น ผมไว้ใจการตัดสินใจของคุณครับ!

Ready to start your Leadership Journey?