'ความปกติ' ที่ผิดปกติ!

ในชีวิตคนเราอะไรคือความจริง อะไรคือความปกติ แบบไหนคือผิดปกติ บางทีเราอยู่กับมันทุก ๆ วันจนเคยชิน จนบางครั้งก็เห็นผิดเป็นชอบ แม้ใครมาเตือนก็ไม่เชื่อ

 

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาสิ่งที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ ที่คิดว่าก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย ทั้งที่ผลตรวจสุขภาพมันฟ้องทุกปี

 

เมื่ออายุเยอะขึ้น เราก็มักคิดว่า

 

  • น้ำหนักขึ้นทุกปีก็ไม่เห็นแปลก เสื้อผ้าเปลี่ยนใหม่ทุกปี ปกติจะตาย
  • มีห่วงยางรอบเอวก็ปกติไหม ใคร ๆ ก็มี ไม่เคยมองว่า ‘ความอ้วน’ เป็นโรค
  • ความดันเริ่มสูง 140/85 ก็คงปกติ เพิ่งเจอปีแรกเอง อายุจะ 50 แล้ว (ทั้งที่สมาคมโรคหัวใจอเมริกาออกประกาศมาตั้งแต่ปี 2017 ว่าความดันระหว่าง 130/80 – 139/89 ให้ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง)
  • นอนแค่วันละ 4 – 5 ชั่วโมงมาตลอด ก็ไม่เห็นเป็นไร เราคงเป็นคนแบบนี้เอง
  • กินอาหารวันละ 3 มื้อ วันละ 2,500 – 3,000 แคลอรี ต่อวัน ก็ไม่เห็นเยอะเลย
  • ไขมันเริ่มพอกตับก็ปกติแหละ เพราะทานข้าวดึก เดี๋ยวคงหายเอง
  • นอนไม่ค่อยหลับก็คงปกติ หลับ ๆ ตื่นๆ อายุมากขึ้นแล้ว
  • การนั่งทำงาน ขับรถ ก็เป็นการออกกำลังกายแล้ว
  • ทานน้ำหวาน กาแฟเย็น ชานมไข่มุก น้ำอัดลม แค่วันละแก้วเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก
  • น้ำตาลในเลือดสูง แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง

 

ถ้าเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้ปกติ เพราะวันนี้เรายังไม่ป่วย ยังลุกไปทำงานไหว อาจเพราะเรามองความเคยชินเป็นความปกตินั่นเอง

 

เราเลยไม่อยากเริ่มการเปลี่ยนแปลง……เพราะทุกการเปลี่ยนแปลง จะมากหรือน้อย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย และที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อของตัวเอง

 

หากเราเห็นคนติดบุหรี่ ติดเหล้าแล้วยังเห็นไม่เลิก เราก็คงคิดว่าแปลกจัง ทั้งที่ไม่ดี ทำไมไม่เลิก มีลูกแล้วยังสูบบุหรี่อีก เขาก็คงคิดว่าสิ่งเหล่านี้ปกติ ใคร ๆ ก็สูบกัน ซึ่งคงไม่ต่างจากที่เราติดพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งที่ในข้อมูลทางการแพทย์บอกว่าไม่ดี แต่เรายังทำอยู่ เพราะเห็นเป็นความปกตินั่นเอง

 

อีกมุมเวลาที่เห็นคนส่วนใหญ่ทำกัน เราจึงเห็นเป็นความปกติ มีคนเป็นเหมือนเราเยอะเลย เช่น ปัจจุบันอัตราคนที่มีค่า BMI (Body Mass Index : ดัชนีมวลกาย) เกิน 25 ซึ่งถือว่าน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มจะเป็นโรคอ้วน และสัดส่วนในประเทศไทยมีมากถึง 40%  ก็เลยคิดว่าเรายังไม่อ้วน เพราะอาจคิดไปเองว่าคนรอบตัวอ้วนกว่า ยิ่งถ้าไปเทียบกับคนต่างชาติ เช่น ในสหรัฐอเมริกา เราก็จะยิ่งคิดว่าเรายังผอม เพราะที่นั่นสัดส่วนคนน้ำหนักเกินน่าจะอยู่ที่ 68% ไปแล้ว (ใครอยากรู้ว่าตัวเองมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เท่าไหร่ ลองค้นหาดูในอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีวิธีคำนวณง่าย ๆ ที่หลายแหล่งบอกไว้)

 

เพียงเพราะเราทำมานาน… และเรายังไม่ป่วย เรายังไม่มีปัญหา เราเลยสรุปเอาเองว่านี่เป็นความปกติ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยน เราจึงทำเหมือนเดิม

 

หรือเรารู้ว่าไม่ดี แต่ยังไม่อยากเลิก ไม่อยากทำ เพราะไม่มีเวลา งานยุ่ง งานก็สำคัญ ต้องเอาให้งานเสร็จก่อน ทั้งที่จริงแล้ว เราไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนทั้งหมด แค่ปรับบางเรื่อง ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม เพียงแค่ต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้ก่อน

 

ลองมาสำรวจตัวเองง่ายๆ ‘ความผิดปกติที่คนส่วนใหญ่มองว่าปกติ’ ที่พบบ่อย คุณมีข้อต่อไปนี้บ้างไหม?

  1. นอนน้อยกว่าวันละ 7 ชั่วโมง
  2. บริโภคปริมาณอาหารเยอะเกินกว่าแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน ต่อเนื่องเป็นประจำ
  3. บริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชาต่อวัน เช่น ในโยเกิร์ตบางยี่ห้อ หนึ่งถ้วย ก็เกินปริมาณนี้แล้ว
  4. ไม่ออกกำลังกายเลย
  5. น้ำหนักขึ้นทุกปีจนเกินค่ามาตราฐาน BMI ถ้าเกิน 30 ก็จัดว่าเป็นโรคอ้วน ความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง

 

ถ้ามีสิ่งนี้ ต้องบอกตัวเองใหม่ว่านี่เป็น ‘สิ่งผิดปกติ’ เพื่อจะได้เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองให้ไปเป็นปกติ

 

3 เทคนิคง่าย ๆ แก้ ‘ความผิดปกติ’ ให้กลับมาปกติ ที่ใครทำก็เห็นผลได้ทันที

 

  1. จัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้สมดุล สิ่งที่ควรจะเป็นคือ

ลำดับที่ 1 นอนให้ได้วันละ 7 – 8 ชั่วโมง

ลำดับที่ 2 รับประทานทานอาหารมีประโยชน์

ลำดับที่ 3 ออกกำลังกาย

 

เมื่อก่อนตัวเองก็เคยให้ความสำคัญกับหลายอย่างผิด เช่น ออกกำลังกายมากเกินไป จนนอนหลับไม่พอ ผลลัพธ์ออกมาก็ไม่ดี

 

  1. คนเป็นโรคผอมคงมีน้อยกว่าเป็นโรคอ้วน เพราะส่วนใหญ่จะมีความคิดที่ว่าคนอ้วนเป็นคนที่มีการกินดีอยู่ดีเป็นความปกติ อันดับแรกของการรับประทานอาหาร ให้เริ่มด้วยการบริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชาตามหลักการแพทย์ที่แนะนำ ก่อนรับประทานอะไรก็อ่านฉลากก่อนว่ามีปริมาณน้ำตาลเท่าไหร่ แล้วค่อย ๆ ปรับตัวอื่น ๆ แค่ปรับได้ตัวเดียว ร่างกายก็จะเริ่มกลับมาเป็นปกติ

 

  1. ถ้ามีใครบอกว่าไม่ต้องออกกำลังกาย ก็ผอมได้ ก็อาจจะจริง เพราะมีหลายวิธีที่ทำให้ผอม แต่เราคงไม่ได้แค่อยากผอม แต่เราอยากมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน เพราะร่างกายมีกล้ามเนื้อ กระดูก มีหัวใจที่เราต้องดูแลด้วย ซึ่งการออกกำลังกายที่เริ่มทำได้ง่ายที่สุด คือ การเดิน และสร้างวินัยให้ต่อเนื่องด้วยการเดินให้ได้วันละ 30 นาที ถ้าใครมีเวลาอ่าน Facebook เปิด YouTube ดูหนังได้ น่าจะหาเวลา 30 นาที เพื่อออกเดิน ซึ่งทำที่ไหนก็ได้

 

สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้อ่านได้ลอง 3 เทคนิคง่ายๆ นี้ เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงเป็นปกติทุกท่านค่ะ

 

#LeadingWell #WellnessCulture

Ready to start your Leadership Journey?