นกยูงในดินแดนของเพนกวิน

เมื่อวันก่อนได้รับเชิญไปพูดในหัวข้อ From Good to Great ให้กับผู้บริหารและลูกค้าขององค์กรแห่งหนึ่ง

 

ผมเริ่มต้นด้วยการชวนผู้ฟังคิดว่า เหตุใดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยประสบความสำเร็จ อย่าง Kodak, Nokia, Blockbuster, IBM, Motorola, Polaroid ฯลฯ จึงล้มเหลว

 

เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้เหรอว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง ?

 

คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะขนาดผู้ที่อยู่นอกวงการอย่างเรา ยังมองเห็นและสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วคนที่ทำธุรกิจนั้นๆ โดยตรง จะไม่สำเนียกเลยหรือ

 

เดิมทีผมเคยเชื่อว่า องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลักๆ 3 อย่างประกอบกัน คือ

 

  1. มีเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
  2. มีกลยุทธ์ที่สามารถทำความฝันให้เป็นความจริง
  3. มีการผลักดัน ติดตาม และประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ

 

แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่างๆ มากมาย กลับพบว่าหลายองค์กรที่มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ประการ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป

 

แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ขาดหายไป ? 

 

ผมตามหาอยู่นาน จนกระทั่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ A Peacock in The Land of Penguins (นกยูงในดินแดนของนกเพนกวิน) จึงค้นพบคำตอบ !

 

หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นเล่าถึงนกเพนกวินฝูงหนึ่งที่อาศัยอยู่รวมกันบนเกาะแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเพนกวินหัวหน้าฝูงเรียกประชุมเหล่าเพนกวินผู้ใหญ่ เพื่อหารือกันว่า “จะทำอย่างไรจึงสามารถเพิ่มความหลากหลายของนกในหมู่เกาะแห่งนี้ได้” เพราะที่ผ่านมามีแต่นกเพนกวินสีขาวดำ เดินไปเดินมา ไม่มีความคิดใหม่ๆ ไม่มีสิ่งแปลกๆ ไม่มีความแตกต่างหลากหลาย ดูแล้วน่าเบื่อ

 

หลังจากถกกันอยู่นาน ที่ประชุมสรุปว่า “เราต้องช่วยกันสรรหานกใหม่ๆ แปลกๆ มาอยู่บนเกาะด้วยกัน” หลังจากนั้นภารกิจการตามล่าหานกใหม่ จึงเริ่มต้นขึ้น

 

ในที่สุดก็ได้นกมากมายหลายชนิด อาทิเช่น นกกระจอก นกกางเขน นกเอี้ยง นกกระจอกเทศ นกอินทรี รวมทั้งนกยูงด้วย และเพื่อช่วยให้นกเหล่านั้น ปรับตัวเข้ากับเพนกวินบนเกาะแห่งนี้ได้เร็วขึ้น จึงจัดให้มีการปฐมนิเทศนกใหม่ รวมทั้งแจกสูทเพนกวินสีขาว-ดำ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งมอบหมายให้เพนกวินอาวุโสทำหน้าที่พี่เลี้ยง สำหรับนกใหม่ทุกๆ ตัว

 

เมื่อเวลาผ่านไป นกแต่ละตัวต่างก็แสดงความเป็นตัวตนออกมา นกกระจอกก็ร้องจิ๊บๆ ทั้งวัน นกเอี้ยงก็ส่งเสียงร้องตามประสาของมัน นกกระจอกเทศก็วิ่งไปวิ่งมา นกยูงก็รำแพนหาง ฯลฯ

 

นกพี่เลี้ยงเริ่มให้ Feedback กับนกชนิดต่างๆ ที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของเกาะเพนกวิน นกบางตัวรับไม่ได้ ก็บินออกจากเกาะไป นกบางตัวพอปรับตัวได้ ก็กลายเป็นเพนกวินในรูปลักษณ์นกชนิดอื่น เหลือเจ้านกยูงตัวเดียวที่ยังอิหลักอิเหลื่ออยู่ ถูกเตือนไปหลายครั้งเรื่องรำแพนหาง จนกระทั่งได้จดหมายเตือนครั้งสุดท้าย (ทัณฑ์บน) หากรำแพนหางอีกที คราวนี้จะถูกขับออกจากเกาะ !

 

แต่จนแล้วจนรอด นกยูงก็คือนกยูง เธอรำแพนหางครั้งสุดท้าย ก่อนที่ต้องจากเกาะเพนกวินแห่งนี้ไปพร้อมๆ กับความสับสนปะปนกับความเสียใจ เมื่อเวลาผ่านไป หัวหน้าใหญ่ของเหล่าเพนกวิน เรียกประชุมนกผู้ใหญ่ทุกตัว เพื่อทบทวนโครงการสรรหานกใหม่ หลังจากถกกันอยู่นาน จึงได้ข้อสรุปว่า “นกชนิดต่างๆ ที่เราไปหามา เป็นนกที่ขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม” จึงตกลงกันว่า จะไปช่วยกันหานกรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่าเดิม

 

เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้ ทิ้งคำถามไว้ให้คิดว่าตกลงปัญหาอยู่ที่นกใหม่ หรือ ปัญหาอยู่ที่เหล่านกเพนกวิน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ จึงถึงบางอ้อว่า ไม่ว่าองค์กรจะมีวิสัยทัศน์ที่สวยหรูและกลยุทธ์ที่โดดเด่นเพียงใด ก็แพ้วัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่ในองค์กรยึดถึออยู่

 

Peter Drucker กูรูด้านการบริหารจัดการ เคยเปรียบเปรยไว้ว่า Culture eats strategy for breakfast แปลว่า วัฒนธรรมกินกลยุทธ์เป็นอาหารเช้า หมายความว่าวัฒนธรรมมีความสำคัญมากกว่ายุทธศาสตร์ทางธุรกิจ

 

คำถามต่อไปคือ วัฒนธรรม มาจากไหน คำตอบง่ายมากครับ วัฒนธรรมสะท้อนผู้นำ ผู้นำเป็นอย่างไร วัฒนธรรมก็เป็นอย่างนั้น ที่สำคัญการสร้างและเปลี่ยนวัฒนธรรมนี่ ยากยิ่งกว่าการเขียนวิสัยทัศน์และการกำหนดกลยุทธ์หลายเท่าตัว เพราะการเปลี่ยนวัฒนธรรมต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้นำด้วย คุณคิดว่ายากไหมละ ?

 

ดังนั้น หากต้องการผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จ ต้องให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กรก่อนเป็นอันดับแรก

 มิเช่นนั้น ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีเด่นเพียงใด ก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล รังแต่จะเป็นอาหารให้วัฒนธรรมได้กินจนอิ่มท้อง เท่านั้นเอง

Ready to start your Leadership Journey?