ลืมได้เลย หุ่นยนต์จะมาแทนคน

หุ่นยนต์กำลังมายึดโลก!

 

สำหรับท่านที่เป็นคอหนังแนวหุ่นยนต์ บู้สุดมันส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรานฟอร์เมอร์ ไอโรบอท หรือ เรียล สตีล คงสนุกกับหนังแนวนี้อย่างแน่นอน

 

ระยะหลังๆ มานี้ เมื่อกระแสหุ่นยนต์และ AI (Artificial Intelligence) จะมาแย่งงานคน ทำให้คนอย่างเราๆ เริ่มไม่เห็นความสนุกของหุ่นยนต์!

 

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด พบว่าสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดว่างานที่มนุษย์ทำอยู่กว่า 47% จากหายไปภายในเวลา 25 ปี นอกจากนี้ จากการศึกษาของ Pew Research Center ยังรายงานว่าหุ่นยนต์หรือ AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากไม่ว่าในอุตสาหกรรมสุขภาพและอนามัย ขนส่งและโลจิสติกส์ งานดูแลลูกค้า และงานซ่อมบำรุง

 

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา มีผู้บริหารองค์กรยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยหลายต่อหลายองค์กร ออกมาแสดงวิสัยท้ศน์ตอบรับกระแสดิจิทัล ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แต่มันอาจจะจบด้วยการลดคน! นำมาซึ่งความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยและพนักงานลุกขึ้นมาประท้วง

 

หากเราเข้าใจการทำงานของสมองคน เราคงไม่แปลกใจ เพราะสมองคนนั้นไม่เป็นมิตรต่อ  “การเปลี่ยนแปลง” สักเท่าไร สมองมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ “การอยู่รอด” นั่นแปลว่าหากวันนี้ยังมีชีวิตอยู่รอด พรุ่งนี้ควรทำเหมือนเมื่อวาน ในทางกลับกัน โลกแห่งธุรกิจนั้นความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นตัวการันตรีความสำเร็จแห่งอนาคต ดังนั้นจงเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต

 

ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่ยืนยันว่าหุ่นยนต์จะมาแทนที่คนได้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ดี หากเรามองย้อนกลับไปในอดีตในช่วงทศวรรษที่ 18 – 19 จะพบว่ายุคเกษตรกรรมได้ถูกแทนที่ด้วยยุคอุตสาหกรรม จากเดิมที่ชาวไร่ชาวนาต้องดำนาไถนาด้วยแรงงานตนเอง ชาวไร่ชาวนาก็สะดวกสบายขึ้น เมื่อได้ใช้เครื่องจักร เครื่องมือ ที่เข้ามาช่วยงานเกษตรกรรม จากใช้แรงงานควาย ก็เปลี่ยนมาใช้ควายเหล็ก ซึ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาล จำนวนชาวนาก็ลดน้อยลง โดยหันไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม รุ่นลูกรุ่นหลานก็หันไปประกอบอาชีพใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีในอดีต  ไม่ว่าจะเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ นักบินอวกาศ เทคนิคการแพทย์ เป็นต้น

 

แน่นอนที่สุด การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล อาจทำให้งานหลาย ๆ งานถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ หรืออาจจะหายไปเลยในอนาคต ไม่ว่าพนักงานขายที่คอยบริหารหน้าร้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานขับรถ ผู้ช่วยครู เป็นต้น

 

แต่อย่าลืมว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีก็กำลังพาเอาโอกาสมหาศาลที่ไม่เคยมีมาก่อนมาสู่มวลมนุษย์ นั่นหมายถึงแท้จริงแล้วเทคโนโลยีไม่ได้มาทำให้งานของมนุษย์สูญหายไป แต่มันกำลังพาเอางานใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนมาสู่มนุษย์

 

ข่าวดีก็คือ การเข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้น ผู้นำองค์กรอาจไม่จำเป็นต้องทำให้พนักงานแตกตื่นเพราะมันไม่เป็นมิตรต่อสมอง หากผู้นำองค์กรเข้าใจว่าทักษะอะไรคือทักษะแห่งอนาคต ที่หุ่นยนต์ไม่สามารถแทนคนได้ และเร่งพัฒนาพนักงานของท่านให้มีทักษะดังกล่าว และนี่คือการนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ทั้งองค์กร ทีมงาน และคน ในแบบที่ได้ทั้ง “สมอง” และ “จิตใจ” เพื่อ “อยู่รอด” และ “เติบโต”

 

บริษัทสลิงชอทกรุ๊ป ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลก ทำการศึกษาถึงทักษะที่หุ่นยนต์ไม่อาจแทนคนได้ และพบทักษะสำคัญ ๆ เบื้องต้น 4 ทักษะคือ

 

  1. การแสดงความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) แม้หุ่นยนต์จะสามารถโต้ตอบขั้นพื้นฐานได้ แต่มันจะไม่สามารถรับรู้อ่านอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ แสดงความความเห็นอกเห็นใจ บริหารอารมณ์ ทำงานเป็นทีมได้
  2. ความกระหายรู้ (Curiosity) แม้หุ่นยนต์จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูล ทำงานศิลปะ ทำอาหาร ร้องเพลง หรือเขียนหนังสือได้ แต่มันไม่สามารถสร้างฝันและคิดอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีในโลกนี้มาก่อนได้ และสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆ นี้จะเกิดไม่ได้หากมนุษย์ไม่กระหายอยากรู้อยากเห็น
  3. การตัดสินใจ (Judgement) ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่มีเพียงขาวหรือดำ หลายต่อหลายอย่างในโลกนี้จำเป็นต้องถูกตัดสินจากสมองมนุษย์ ว่ามัน make sense หรือไม่ผิดหรือถูก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องใช้ทั้งเหตุผลและอารมณ์เป็นตัวตัดสิน
  4. การแรงบันดาลใจ (Inspiring) แม้หุ่นยนต์จะสามารถพูดคุยได้ แต่มันไม่สามารถโน้มน้าว จูงใจ โดยฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออนาคตข้างหน้าไม่สามารถคาดเดาได้ และมนุษย์จำเป็นต้องเดินหน้าแม้จะไม่รู้ถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งเป้าหมายอาจเปลี่ยนได้ระหว่างทาง และต้องรับมือกับความไม่ชัดเจน

 

แล้วคุณล่ะ เตรียมความพร้อมให้คนของคุณแล้วหรือยัง

Ready to start your Leadership Journey?